ลดขั้นตอนราชการ ตั้งคณะทำงานร่วมภาคประชาสังคม
ปิดฉากยุค ต่างคนต่างทำ สู่ หุ้นส่วนการพัฒนา Oneplan จันทบุรี
เกิดจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในการพัฒนาจังหวัดจันทบุรี เมื่อภาครัฐและภาคประชาสังคมผนึกกำลังอย่างเป็นทางการ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งการเด็ดขาดให้ตั้ง “คณะทำงานร่วม” เพื่อดูแลสุขภาวะประชากรกลุ่มเปราะบาง พร้อมทลายกำแพงพิธีรีตองที่ล่าช้า สั่งให้คุยนอกรอบแล้วเดินหน้าทันที
นับเป็นความสำเร็จต่อเนื่องจากโครงการนำร่องที่สร้างปรากฏการณ์ “ปลดล็อก” การมีส่วนร่วมของประชาสังคมใน 5 จังหวัดมาก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2568 ณ ห้องประชุมพลอยจันทร์ ศาลากลางจังหวัดจันทบุรี บรรยากาศของเวทีปรึกษาหารือที่จัดโดย สถาบันส่งเสริมภาคประชาสังคม (สสป.) ร่วมกับสมาคมพหุภาคีพัฒนาประชาสังคมจันทบุรี ภายใต้การสนับสนุนจากสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) การประชุมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ สสป. และ สสส. สำนัก 9 กำลังขับเคลื่อนเพื่อหนุนเสริมให้ภาคประชาสังคมเป็น “หุ้นส่วนการพัฒนา” กับภาครัฐอย่างสมศักดิ์ศรี
หลังจากเกิดการสร้างกลไกความร่วมมือใน 5 จังหวัดนำร่อง ทั้งการตั้งคณะอนุกรรมการจัดทำแผนคุณภาพชีวิตที่ร้อยเอ็ด, แนวคิด One Plan One ตำบลสุขภาวะที่ปัตตานี, คณะทำงานภาคประชาสังคมที่พะเยา, คณะทำงานคู่ขนานที่ลำพูน และการผลักดันสภาภาคประชาสังคมที่สตูล ซึ่งจันทบุรีเป็นจังหวัดล่าสุดที่เข้าร่วมการเปลี่ยนแปลงนี้
โดยมีผู้เข้าร่วมรวม 30 คน จาก 12 องค์กรเช่น สมาคมพหุภาคีพัฒนาประชาสังคมจันทบุรีชมรมกระต่ายอาสาพุทธมณฑลจันทบุรีศูนย์ผู้นำจิตอาสาพัฒนาชุมชนจังหวัดจันทบุรีสมาคมคนพิการจังหวัดจันทบุรีชมรมผู้ปกครองบุคคลออทิสติกจังหวัดจันทบุรีสมาคมสภาผู้สูงอายุจังหวัดจันทบุรีสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (สำนักงานภาคกรุงเทพฯ ปริมณฑล ตะวันออก
ตลอดภาคเช้า ตัวแทนภาคประชาสังคมจากหลายภาคส่วนในจันทบุรีได้เปิดใจสะท้อนปัญหาที่กัดกร่อนการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนจันท์มาอย่างยาวนาน ไม่ใช่เพียงรายงานปัญหา แต่เป็นเรื่องราวความพยายามและความคับข้องใจที่สะสมมานานปีโดยสามารถสรุปได้ ดังนี้

1. เวทีราชการที่ไร้เสียงประชาชน
ตัวแทนภาคประชาสังคมที่เคยนั่งในคณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.บ.จ.) ระบายความในใจว่า “ผมเป็น ก.บ.จ. มาหลายปีมาก มองว่าเป็นเวทีของราชการมากกว่า เสียงจากภาคประชาสังคมกระจายมาก ไม่มีโอกาสได้พูดอะไรเลย”
ทั้งยังชี้ว่าสภาองค์กรชุมชนซึ่งเป็นกลไกสำคัญกลับไม่มีตัวแทนใน ก.บ.จ. มานานหลายปี ทำให้เสียงของชุมชนฐานรากเงียบหายไปจากกระบวนการวางแผนผลจากการขาดตัวแทนและการมีส่วนร่วม ทำให้เสียงของภาคประชาสังคมในคณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.บ.จ.) มีน้อยและไม่ครอบคลุม ทำให้ข้อเสนอจากการทำงานในพื้นที่จริง จึงมักตกหล่น
2. การต่อสู้ของผู้ดูแลคนพิการ
ตัวแทนจากชมรมผู้ปกครองบุคคลออทิสติก เล่าถึงการต่อสู้กับมายาคติที่ว่าเด็กออทิสติก "เรียนรู้ไม่ได้" ซึ่งไม่เป็นความจริง พวกเขาต้องดิ้นรนหาทางพิสูจน์ศักยภาพของเด็กๆ ท่ามกลางการถูกตัดงบประมาณและต้องเผชิญหน้ากับคณะกรรมการพิจารณาโครงการที่ "ไม่ค่อยมีความรู้" ในเรื่องความพิการเฉพาะทาง ทำให้การพัฒนาไม่เป็นไปอย่างเต็มศักยภาพ
3. ความเปราะบางของเกษตรกรเมืองผลไม้
แม้จันทบุรีจะเป็นเมืองเกษตรกรรมที่สร้างรายได้มหาศาล แต่ภาพเบื้องหลังคือความจริงที่น่ากังวล "ขายทุเรียนได้ 1 ล้าน หักต้นทุนแล้วเหลือไม่ถึงแสน" ตัวแทนเกษตรกรสะท้อนปัญหาหนี้สิน ความเสี่ยงจากสารเคมี และการเป็นแรงงานนอกระบบที่ไร้สวัสดิการรองรับเมื่อเจ็บป่วยหรือประสบอุบัติเหตุตกต้นไม้ ซึ่งเสี่ยงต่อความพิการในระยะยาว
4. โครงสร้างที่อ่อนแอและขาดการเชื่อมโยง มีการยอมรับกันในที่ประชุมว่ากลไก "สภาองค์กรชุมชน"
ในระดับจังหวัดของจันทบุรีอ่อนแอและห่างหายไปจากการประชุมใหญ่ตั้งแต่ปี 2557 ทำให้ภาคประชาสังคมและขบวนองค์กรชุมชนทำงานแยกส่วนกัน ขาดพลังในการขับเคลื่อนภาพรวม
5. ข้อเสนอโครงการมักถูกมองข้าม หรือเมื่อได้รับงบประมาณก็ไม่สอดคล้องกับระยะเวลาการทำงานจริง
เพราะงบประมาณส่วนใหญ่ถูกทุ่มไปกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานมากกว่าคุณภาพชีวิต ผนวกกับความล่าช้าของระบบราชการ การทำงานที่เทอะทะ การเปลี่ยนตัวเจ้าหน้าที่บ่อยครั้ง ทำให้การขับเคลื่อนงานขาดความต่อเนื่อง
6.การทำงานที่ผ่านมามักถูกมองว่าซ้ำซ้อนกับหน่วยงานรัฐ ข้อเสนอจากพื้นที่ถูกละเลยเนื่องจากขาดพื้นที่กลางในการประสานงาน
ซึ่งสาระสำคัญที่ภาคประชาสังคมเสนอในการประชุมครั้งนี้ คือการตั้ง “คณะทำงานร่วม” ภายใต้แผนพัฒนาจังหวัด (One Plan) ยุทธศาสตร์ที่ 5 เพื่อให้เป็นกลไกขับเคลื่อนการทำงานที่เป็นรูปธรรม และมีผู้แทนภาคประชาสังคมร่วมกับหน่วยงานรัฐในการจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตประชากรกลุ่มเปราะบางโดยตรง
นางสาวอินทิรา มานะกุล จากสมาคมพหุภาคีพัฒนาประชาสังคมจันทบุรี กล่าวย้ำว่า กลไกนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ข้อเสนอเชิงพื้นที่ถูกบรรจุเข้าสู่แผนพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังเป็นการสร้างเครือข่ายที่เข้มแข็งระหว่างหน่วยงานรัฐและประชาสังคมในระยะยาว ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างเป็นระบบ และตอบโจทย์ความต้องการของพื้นที่อย่างแท้จริง

ประชุมร่วมกับส่วนราชการระดับจังหวัด ทำให้เร็ว อย่ารอช้า! รองผู้ว่าฯ สั่งการทลายกำแพง
บรรยากาศในช่วงบ่ายทวีความเข้มข้นขึ้น เมื่อรองผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี นายสมพร กาญจน์นิรันดร์ และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้ารับฟังข้อสรุป หลังจากมีการนำเสนอข้อมูลและแนวทางการตั้งคณะทำงาน แต่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อภาคประชาสังคมเสนอให้ตั้งกลไกร่วมชุดใหม่ที่ครอบคลุมผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยมีคณะทำงานแกนหลักที่ปฏิบัติงานจริงประมาณ 20 คน พร้อมกำกับเน้นย้ำว่า นี่ไม่ใช่การมาเพื่อของบประมาณ แต่เป็นการหนุนเสริมภาคประชาสังคมมาช่วยงานรัฐเมื่อเห็นทิศทางที่ชัดเจนและเจตนารมณ์อันมุ่งมั่น รองผู้ว่าราชการจังหวัดได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดและกล่าวประโยคที่สร้างกำลังใจให้คนทำงานทั้งห้องประชุมว่า
“จะตั้งคณะทำงานวันไหน ทำให้เร็ว คุยกันนอกรอบให้จบเลย อย่ามาเถียงกันในที่ประชุม มีข้อสรุปมาเลย อย่าให้ล่าช้า พิธีกรรมมันเยอะกว่าปฏิบัติ ให้ไปร่าง (คำสั่ง) มาก่อนเลย แล้วให้พี่ ๆ เขาตรวจเลย อย่ารอช้า สามารถทำได้เลย อันนี้คือมาผ่านกรรมวิธีทางการแค่นั้น ไปคุยข้างนอกให้จบเลย”
คำสั่งการนี้ เปรียบเสมือนการส่งสัญญาณที่ทรงพลังว่าฝ่ายบริหารของจังหวัดพร้อมที่จะทลายกำแพงทางระเบียบและขั้นตอนที่ล่าช้า เพื่อเปิดทางให้การทำงานร่วมกันเกิดขึ้นได้จริงและรวดเร็วที่สุดการจัดตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของจังหวัดจันทบุรีในครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่การเพิ่มคณะกรรมการอีกหนึ่งชุด แต่คือการทำงานระหว่างรัฐและประชาชน เป็นการยอมรับว่าปัญหาของประชาชนซับซ้อนเกินกว่าที่หน่วยงานรัฐหน่วยงานเดียวจะแก้ไขได้สำเร็จ และเสียงจากคนทำงานในพื้นที่คือข้อมูลสำคัญที่สุดในการวางแผนที่ตรงจุด
ประชาสังคมจันทบุรี กำลังจะพิสูจน์ให้เห็นว่า การผนึกกำลังกันระหว่างความเชี่ยวชาญของภาครัฐ กับความมุ่งมั่นและข้อมูลเชิงลึกของภาคประชาสังคม คือ สูตรสำเร็จในการสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และนำพาสังคมเมืองจันท์ไปสู่สุขภาวะที่ดีอย่างถ้วนหน้า