คนในกระจกเงา
บทสัมภาษณ์หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา
หากมีเด็กหนึ่งคนหายออกจากบ้านไป นอกจากไปโรงพักแล้วคุณจะคิดถึงใคร ? แน่นอนว่ารายชื่อต้น ๆ ที่ผู้คนจะคิดถึงก็คือ มูลนิธิกระจกเงาอะไรเป็นเหตุปัจจัยทำให้กระจกเงาเป็นที่คิดถึง อะไรทำให้กระจกเงาประสบความสำเร็จในการทำงานติดตามคนหาย แล้วบุคลากรคนทำงานในกระจกเงา เขาคิดเห็นอย่างไรกับการทำงานภาคประชาสังคมในปัจจุบัน วันนี้มาร่วมกันค้นหาตัวตน “คนในกระจก”
ทำไมคนหายต้องนึกถึงกระจกเงา
ที่นี่เราเป็นศูนย์รับแจ้งเหตุ ที่เมื่อไหร่คนเกิดปัญหาแล้วต้องการที่ปรึกษา เรารับให้คำปรึกษาในเบื้องต้น หัวใจหลักจริง ๆ ของการตามหาคนอาจไม่ได้อยู่ที่เราหรือใครเลย แต่อยู่ที่ครอบครัว บางทีถ้าเกิดปัญหาขึ้นครอบครัวอาจไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง ซึ่งอะไรที่ครอบครัวเองทำไม่ได้เราจะเป็นฝ่ายสนับสนุน หน้าที่ของเราคงเป็นที่น่าสนใจในสื่อมวลชน แล้วเราก็ทำให้เห็นว่าเด็กหายเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวัน
คนหายหนึ่งคนสำคัญอะไรกับประเทศนี้
หากมองในแง่เศรษฐศาสตร์ บุคคลหนึ่งคนอาจเป็นกำาลังผลิตสำาคัญในอนาคต สำหรับประเทศแล้ว ในระยะหลังเราพบว่าคนที่หายออกจากบ้าน มันส่งผลตรงไปตรงมา กับการก่ออาชญากรรมทันที ทั้งเป็นผู้ถูกกระทำและกระทำ เช่น หากเด็กหายหนึ่งคนอาจถูกนำไปสู่ความสัมพันธ์กับขบวนการค้ามนุษย์ ถูกพาไปแสวงหาประโยชน์ทางร่างกาย ทางเพศ ทางทรัพย์สิน ขณะเดียวกันเด็กที่สมัครใจหนีออกจากบ้าน ซึ่งอาจถูกมองว่าเด็กสมัครใจไปด้วยตัวเอง จำเป็นหรือที่จะต้องตามหาแต่ถ้าหากเด็กไปก่ออาชญากรรม หรือไปร่วมอยู่ในกลุ่มก่ออาชญากรรม หรือใช้สารเสพติด มันส่งผลต่ออนาคตทั้งนั้น ดังนั้น การช่วยเหลือเด็กหนึ่งคนให้กลับสู่บ้าน ให้กลับสู่พื้นที่ปลอดภัย ก็ถือเป็นการลดปัญหาในสังคม
ทำไมถึงต้องมีกลุ่มคนแบบกระจกเงา
ถ้าเวลาคนเรามันเกิดการรวมกลุ่มกัน จะทำให้ปัญหาแก้ไขได้เร็วขึ้น การปล่อยให้คนเล็ก ๆ เผชิญปัญหาตามลำาพัง จนสังคมสุกงอม อิ่มตัวกว่าคนจะเข้าใจ กว่าจะเกิดเรียนรู้ กว่าจะได้ตระหนักต้องใช้เวลานานต้องแลกด้วยความระทมทุกข์ของคนจำานวนมาก กว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งถ้ามีการนำในประเด็นมันจะทำให้สปีดของการแก้ปัญหาเร็วขึ้น ทำาให้เกิดการต่อรอง ร้องขอกับกลไกรัฐได้มีพลังหนักมากขึ้นแต่เราจะไม่มองตัวเองเป็นฮีโร่ แล้วก็มองว่าถึงแม้ไม่มีเอ็นจีโอหรือภาคประชาสังคม ทุกคนเขาก็อยู่กันได้ แล้วที่สำาคัญกระจกเงาจะไม่สร้างความคาดหวัง ว่าถ้าหากเด็กหายมาหากระจกเงาแล้วเราจะช่วยหาเด็กเจอ ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาในหนึ่งปีเราจะได้รับแจ้งเหตุคนหายกว่าหนึ่งพันกรณี ซึ่งกรณีที่สำาเร็จรวมทั้งการให้คำปรึกษาด้วยแล้ว มีมากกว่าเก้าสิบเปอเซนต์ก็ตาม
สิ่งที่ต้องระวังสำหรับการรวมกลุ่มกันทำสิ่งดี ๆ ให้สังคม
เวลาทำางานเอง คนที่มารวมกันทำอะไรเพื่อสังคมร่วมกัน บางครั้งมันก็ก่อให้เกิดปัญหาโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะมัวแต่คิดว่านี่เป็นเรื่องที่เราทำเราถนัด นี่เป็นปัญหาที่เราต้องแก้ไข ต้องเป็นเราเท่านั้นที่แก้ปัญหา การทำางานในยุคใหม่ ต้องไม่ผูกขาดการทำความดี เพราะบางทีการที่เราอยู่กับปัญหาหรือแก้ปัญหามานาน จะทำให้เรารู้สึกว่าต้องแก้ทุกเรื่อง จนเลยเถิดบางเรื่องอาจรอไม่ได้ แต่เอาเข้าจริงสังคมสามารถแบ่งการช่วยเหลือในระดับที่ต่างกันได้ ดังนั้นสิ่งที่ภาคประชาสังคมควรทำ คือการทำให้ทุกคนมามีส่วนร่วมกับปัญหาในประเด็น แล้วทำให้ทุกคนมาเป็นเจ้าของปัญหา มาหาทางออกของปัญหาร่วมกัน
ที่ผ่านมามีวิธีจัดการความร่วมมือกับรัฐอย่างไร
ก่อนหน้านี้ก็คิดว่าเราจำเป็นต้องตีหัวขอความร่วมมือ แต่บทเรียนจากการทำงานที่ผ่านมา พบว่าพอความสัมพันธ์เป็นแบบด่าทอเบาะแว้ง มันกลายเป็นไม่เหลือมิตรในการทำงาน ปัญหาจะไม่ตกอยู่กับเราและรัฐ แต่ตกอยู่กับผู้ที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือเท่าที่ควรการลดอคติในการทำงานลง มุ่งแสวงหาทำงานแบบเพื่อนที่ต้องกล้าแนะนำ กล้าบอกให้เพื่อนปรับตัวแล้วเราก็มองข้อจำกัดของตัวเอง กล้าจะก้าวข้ามมันไปไม่เอามาเป็นประเด็น หมดยุคที่เราต้องตะโกนบอกคนอื่นว่า ตรงนี้มีปัญหา แต่เราต้องเสนอวิธีการแก้ปัญหาด้วย ในฐานะผู้ที่อยู่กับปัญหาแต่ว่ามันต้องเป็นข้อเสนอที่กลายมาเป็นรูปธรรมได้ด้วย
ที่ผ่านมาข้อเสนอไหนที่ได้รับการยอมรับและกลายเป็นนโยบายที่เป็นรูปธรรม
ที่เป็นรูปธรรมที่สุดคือเรื่องการรับแจ้งความ 24 ชม. สมัยก่อนเจอปัญหามากเรื่องการไปแจ้งความคนหายจะต้องรอให้ผ่านหนึ่งวันไป เราจึงมีการเข้าชื่อของคนในสังคม 40,000 ชื่อ พร้อมกับข้อมูลของครอบครัวที่มีบุคคลหายแล้วตำรวจไม่รับแจ้งความ ไปยื่นต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จนเกิดเป็นระเบียบออกมา ว่าการรับแจ้งความคนหายสามารถรับแจ้งความได้ทันที ไม่ต้องรอถึง 24 ชม. เห็นเลยว่าสังคมเปลี่ยนผ่านจากการที่ทุกคนช่วยกัน เราต้องชี้ให้เห็น ว่าถ้ารับแจ้งความช้า หรือรอให้ผ่านไปเป็นวัน คนหนึ่งคนอาจต้องเจอปัญหาตลอดชีวิต