ละครชีวิต
เพราะบางเรื่องเล่าเหมาะสมกว่า เมื่อถูกระบุว่ามีเค้าโครงมาจากเรื่องจริง
ลุงดำ เป็นลูกหลานชาวอีสานใต้แต่กำเนิด ตลอดระยะเวลา 5 ปี ที่ผ่านมาขายแรงเป็นแรงงานก่อสร้างแบบจ้างเหมาวัน เช้าแบกความหวังของของเมียออกจากบ้าน เย็นรับเงินไปต่อเติม เพิ่มจำนวนวันมีข้าวกินของทั้งคู่ ส่วนลูกชายเพียงคนเดียวแม้หวงแหนเหมือนดวงใจ แต่ก็ด่วนจากไปด้วยวัย 17 ปี เพราะซ้อนรถมอเตอร์ไซค์เพื่อนไปชนตาย
ปีกลายที่ผ่านมาลุงดำ หอบชีวิตไปไกลถึงภาคใต้ ลุยงานตามคำสั่งนาย จะแบกหาม ขนย้าย ใช้เหงื่อและแรงกายสร้างรายได้ให้ตัวเองพอมีกิน ลุงดำได้เป็นลูกจ้างประจำตำแหน่งคนรับรถ หลังจากก่อสร้างร้านอาหารเสร็จ ที่ได้ทำเพราะตัวแกเริ่มล้าอยากพักจากงานโหมแรงเสียบ้าง จนได้รับความอนุเคราะห์จากเจ้าของร้านอาหาร ร้านเปิดเดือนแรกขายดิบขายดี พอล่วงเข้าเดือนที่สองมีข่าวไวรัสโคโรน่า เจ้าของร้านยื้อกิจการไปจนถึงวันสุดท้าย ก่อนมีคำสั่งจากส่วนกลางปิดให้บริการ
ร้อนใจเหมือนไฟจี้ เงินเดือนไม่มี รายได้ที่รับล้วนมาจากทิปน้ำใจจากลูกค้า เจ้าของร้านยังใจดีให้อาศัยเพิงท้ายร้านต่อไปได้ ในระหว่างรอร้านกลับมาเปิดอีกครั้ง แต่จะอยู่เพื่ออะไร ในเมื่อไม่รู้จะหาทีท่าว่าจะเอาเงินมาจากไหน ลุงดำหอบกระสอบสัมภาระจูงมือเมียหมายกลับบ้านเกิดจังหวัดสุรินทร์ ... เหมือนละครหลังข่าว ตลกร้ายไม่มีรถวิ่งข้ามจังหวัดให้โดยสารอีกต่อไป สองผัวเมียตัดสินใจจับจักรยานคันจ้อย หมายใจว่าผลัดกันปั่นไปตายเอาดาบหน้ากลับบ้านยังเหลือญาติแม้ห่างไกล ร้อนแค่ไหนก็ยังมีที่อาศัยริมคันแถนา* ... สองผัวเมียเริ่มเดินทาง
...ไม่มีกูเกิ้ลแมพคอยบอกพิกัดและทิศทาง...
...ปราศจากทุกการอำนวยความสะดวก...
...อาศัยเก็บขวดพลาสติกริมทาง กับข้าวของที่คาดว่าพอจะขายได้ต่อทุนชีวิต...
11 วันต่อมา
อาสาสมัครสาธารณสุขชุมชน ผู้ใหญ่บ้าน แกนนำภาคประชาสังคมในจังหวัด ได้รับแจ้งมีคนกลับมาจากต่างพื้นที่กักตัวอยู่ท้ายหมู่บ้าน หลายคนพากันหวาดวิตกว่า อาจเป็นพาหะนำเชื้อมาแพร่กระจาย แม้คุ้นหน้าชายร่างเล็กผอมบางผิวกร้านแดด ซึ่งเดินก้มหน้าก้มตางุนงงอยู่ใกล้หมู่บ้าน โดยญาติห่าง ๆ หอบข้าวของส่วนตัวไปทิ้งไว้ให้ใช้ใต้หลังคาเพิงหมาแหงน แต่ก็ไม่อาจทำให้มั่นใจได้ว่าคนในหมู่บ้านจะปลอดภัย
“ข่าวเขาว่าต้องกักตัว 14 จึงเลือกมาอยู่คันแถนานี้ก่อน” ลุงดำอยู่กับภรรยา จนกระทั่งพบว่าเงินที่ตนมี นั้นไม่เหลือแล้ว ความรับผิดชอบต่อสังคม ไม่จำเป็นต้องแลกมาด้วยการต้องทนหิวโหยสาเหตุที่มีคนได้พบเจอลุงดำ เพราะแกหมายมั่นว่า จะออกหาผักหญ้าริมทาง มาจิ้มน้ำปลากิน โชคดีที่เกิดเป็นลูกหลานชาวนา เมื่อญาติห่างกันรู้ข่าวก็พอได้ให้ข้าวให้น้ำ แต่พอบ้านอื่นเห็นแบบนั้นรู้สึกไม่สบายใจ เพราะลุงดำกลายเป็นหน้าใหม่ ไม่ได้อาศัยในพื้นที่ตอนโรคระบาด
คุณสัญญา (สงวนนามสกุล) หนึ่งในคณะทำงานสภาพลเมืองจังหวัดสุรินทร์ อยู่ในกลุ่มคณะบุคคลที่ลงพื้นที่เยี่ยม จะว่าไปเยี่ยมลุงดำคงไม่ถูกต้องเต็มคำ เพราะคณะพากันไปตรวจวัดอุณหภูมิและคัดกรองโรคมากกว่า ลุงดำทราบมาตรการกักตัวจากอาสาสมัครชุมชนถึงกับน้ำตาคลอ เพราะแกไม่รู้ว่าถ้าห้ามออกจากบ้านจะหาอะไรมายาไส้
โชคยังดีบนพื้นดินที่ราบสูงแสนร้อน ไม่แล้งน้ำใจ หลายคนเข้าให้การช่วยเหลือเรื่องปากท้อง
คุณสัญญาน้ำตาคลอเบ้าเล่าว่า “ตอนทีมลงไปเยี่ยมลุงแกพยายามจะหา เศษเงินให้เมียไปซื้อน้ำแข็งมาต้อนรับพวกเรา แต่แค่เศษเงินซื้อน้ำแข็งห้าบาทยังหาไม่ได้ ลุงแกพยายามไม่เข้าไปในชุมชนเพราะรู้ว่าคนกลัว ก็เลยจะหาของกิน แล้วพยายามสื่อสารกับญาติพี่น้องว่า หากใครมีงานรับจ้างอะไรให้แกทำ ค่าจ้างเท่าไหร่แกไม่เกี่ยง แต่ชาวบ้านเราได้ข่าวต่อกันมาใครจะอยากเข้าไปใกล้แก”
จากข้อเท็จจริง ถึงแม้จะมีการเยียวยาช่วยเหลือจากรัฐโดยครอบคลุมทุกอาชีพแล้ว แต่น่าเสียดายที่ลุงดำกลายเป็นหนึ่งในผู้เล็ดรอดจากมาตรการช่วยเหลือ แม้เนื้อแท้คนเราจะขยันขันแข็งเพียงใด แต่หากไม่มีงานให้ทำความขยันก็กลายเป็นสูญเปล่า
เรื่องเล่านี้อาจจบไม่สวยนัก เมื่อเมียของลุงดำทนไม่ไหวกับการต้องนั่งงอมืองอเท้ารอรับบริจาคข้าวปลาอาหาร จากแม่บ้านทำความสะอาดร้านอาหารพอมีรายได้บ้าง กลายเป็นทุกอย่างเหลือเพียงศูนย์ ลุงดำแจ้งข่าวให้อาสาสมัครสาธารณสุขชุมชนทราบว่า เมียของแกขอออกจากชุมชนไปหางานทำที่หัวเมืองใหญ่ไม่ไกลจากจากสุรินทร์แล้วหลักกักตัวอยู่จริงจังได้เพียง 4 วัน
เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับชายร่างเล็กคนนี้ยังไม่จบ เพราะฤดูกาลไม่มีหูตามาปราณีรอให้โรคระบาดจบค่อยทำงาน พายุฤดูร้อนพัดครืนหลังคาเพิงหมาแหงนปลิวว่อน สิ่งที่พอมีคุ้มกะลาหัวลุงดำหายไปเมื่อวันหนึ่งในฤดูร้อนเดินทางมาถึง
จากสองคนมีกินแม้ไม่เก็บ เหลือเพียงหนึ่งเดียวรอรับการช่วยเหลือ
เมื่อกวาดสายตาอ่านมาจนถึงตอนนี้ เพียงอยากให้มีถ้อยคำภาวนาว่า เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องสมมติ
ท้ายสุด ด้วยความเป็นคนที่ไม่นิ่งเฉยต่อปัญหา คุณสัญญามีข้อเสนอที่ไม่ได้เพียงเสนอต่อรัฐ ให้หาทางช่วยเหลือกลุ่มประชากรที่ไม่สามารถเข้าถึงช่องทางการขอรับเงินเยียวยา หรือสิ่งของช่วยเหลือ แต่คุณสัญญามองเห็นว่า ความร่วมมือกันของ ภาคประชาสังคมในพื้นที่ กับเครือข่ายองค์กรที่มีการทำงานในเชิงประเด็น เช่นสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน กลุ่มสวัสดิการบ้านมั่นคง จัดหางานและสวัสดิการจังหวัด หากได้ประสานการทำงานร่วมกันเพื่อฟื้นฟู สร้างโอกาส สร้างช่องทางในการเข้าถึงงาน ให้คนตกงาน หรือผู้ได้รับผลกระทบหลังจากนี้ มีโอกาสได้ใช้ทักษะ ความสามารถของพวกเขาเองในการยังชีพ เพื่อเข้าถึงที่อาศัยที่มั่นคง จะทำให้รอยยิ้มของชุมชนกลับคืนมามากกว่าหาทางให้การช่วยเหลือโดยการสงเคราะห์
เพราะเหนือสิ่งอื่นใด น้ำใจไท แม้มีคำกล่าวว่าจะไม่แห้งแล้ง แต่หาใช่แนวทางหลักสำหรับพัฒนาคุณภาพชีวิตงคนในประเทศเป็นแน่แท้
___________________________________________
*คันแถนา - คันดินที่เกิดจากการขุดลอกหน้าดินเพื่อการเกษตรและมาพอกพูนอยู่บริเวณขอบที่ดิน จนสามารถปลูกสิ่งปลูกสร้างชั่วคราวได้ เป็นคำที่ใช้ในบางภูมิภาค - ผู้เขียน