ล้างหนี้กยศ. ยุติธรรม หรือเอาเปรียบสังคม ?
คุยกับ รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี ผู้นำแคมเปญ #ล้างหนี้กยศ.
17 ก.ย. คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ร่วมกับสถาบันสังคมประชาธิปไตย จัดวงสนทนาบนแอปพลิเคชั่นคลับเฮาส์ “#ล้างหนี้กยศ. ยุติธรรม หรือ เอาเปรียบสังคม?” โดยมีผู้สนทนาประกอบด้วย รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี หัวหน้าศูนย์วิจัยการเรียนรู้รัฐสวัสดิการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้นำแคมเปญล้างหนี้กยศ. และ วรภัทร วีรพัฒนคุปต์ กรรมการ ครป. อดีตลูกหนี้ กยศ. ซึ่งกิจกรรมนี้มีผู้สนใจเข้าร่วมรับฟังถึงกว่า 600 คน
ษัษฐรัมย์ หัวหน้าศูนย์วิจัยการเรียนรู้รัฐสวัสดิการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะผู้นำแคมเปญฯ อธิบายว่าที่มาว่าแคมเปญนี้ เป็นสิ่งที่ถูกนำเสนอขึ้นมาพร้อมกับแคมเปญการเรียนฟรีในระดับอุดมศึกษา ซึ่งหากผลักดันให้การเรียนฟรีเกิดขึ้นได้แล้ว สิ่งที่ต้องทบทวนคือการแก้ปัญหานโยบายที่ผิดพลาดในอดีตที่ทำให้คนไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาระดับสูงได้ แล้วเราแก้ปัญหาด้วยการให้เขาไปกู้เงิน จนเกิดหนี้ทางการศึกษา จึงนำมาสู่เรื่องว่าควรต้องล้างหนี้ กยศ. คือการที่ให้รัฐบาลเข้ามาจัดการภาระหนี้อันนี้ กลไกการล้างหนี้นั้นทำได้หลากหลายมากมาย ตั้งแต่การพักชำระหนี้ระยะยาว หรือเปลี่ยนหนี้ให้กลายเป็นทุน หรือการล้างหนี้ตามเงื่อนไขต่าง ๆ ซึ่งอย่างที่ตอนนี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐอเมริกา กำลังทำอยู่ เพื่อแก้ไขปัญหาจากการที่คนอเมริกาจำนวนมากมีหนี้จากการศึกษาเฉลี่ยร่วมราวๆ 7แสนบาทถึง4ล้านบาทต่อคน กว่า16%ต้องใช้หนี้จากการกู้ยืมเพื่อการศึกษาไปจนเกษียณ
จริง ๆ การทำนโยบายล้างหนี้การศึกษานั้นง่ายกว่าเรื่องการเรียนฟรี แต่วันนี้สิ่งที่สังคมถกเถียงกันกลับกลายไปเป็นเรื่องคุณธรรมจริยธรรมว่า มีหนี้ก็ต้องใช้หนี้
ด้านหนึ่งคือเราไม่เคยมองว่าการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็น “สิทธิ” ขั้นพื้นฐาน แต่ไปมองเป็นเรื่องของความหรูหรา สังคมไทยยังมองสวัสดิการเป็นเรื่องของคนจน อย่างการศึกษา คนก็มองว่าคนเรียนเก่งก็สอบชิงทุนได้ มีโรงเรียนสำหรับผู้มีความเป็นเลิศทางการศึกษามากมาย ซึ่งมุ่งหวังว่าการให้บริการการศึกษาแก่คนที่ถูกมองว่ามีคุณภาพจะยกระดับการพัฒนาประเทศไทย ซึ่งวันนี้เราก็เห็นแล้วว่า มันไม่จริงเลย เราก็ยังไม่ได้เป็นประเทศที่ก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ กลายเป็นว่าวิธีการส่งเสริมคนเรียนเก่งแบบโมเดลโครงการช้างเผือกต่าง ๆ ก็ได้เพียงแค่เป็นการยกระดับโอกาสทางสังคมของคนบางกลุ่มเท่านั้น ส่วนคนเรียนไม่เก่งเราก็คิดว่าให้กู้เงินเรียนไปถ้าเขาอยากมีชีวิตที่ดี
อยากให้มองว่าหนี้การศึกษามันไม่ใช่หนี้ที่เราเลือกเอง แต่เป็นหนี้ที่เกิดจากเงื่อนไขความเหลื่อมล้ำในสังคม พอเราบอกว่าสวัสดิการมันสำหรับแค่ตนจนเท่านั้น ก็ทำให้เกิดทัศนคติประหลาดๆ เช่น คนกู้ กยศ. ถ้าเป็นผู้หญิงก็ต้องหน้าสดมาเรียน ซื้อเครื่องสำอางไม่ได้ หรือจะมีสมาร์ทโฟนดี ๆ ไม่ได้ ต้องใช้โทรศัพท์ที่ดูสมกับความยากจน พอคิดแบบนี้ทุกอย่างก็ผิดเพี้ยนไปหมด เกิดความคิดว่า ถ้ากู้ กยศ. เมื่อเรียนจบแล้ว คุณซื้อบ้านได้ คุณผ่อนรถได้ แต่ทำไมคุณใช้หนี้ กยศ. ไม่ได้ กลายเป็นว่ากู้เงินเรียนจบแล้ว ก็ยังไม่มีโอกาสที่จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ สร้างชีวิตที่ดีให้ตนเอง ให้ครอบครัว และก็มีข้อเท็จจริงที่ลูกหนี้ กยศ. เรียนจบ ทำงาน แต่ไม่มีโอกาสได้สร้างความมั่นคงให้กับชีวิตตนเอง ถูกยึดบ้านจากการบังคับคดีของ กยศ.
ทั้งนี้มีข้อมูลปรากฎว่า กยศ. ใช้งบประมาณในช่วง 10 ปี ย้อนหลังนับหมื่นล้านบาท ในการจ้างทนายความเอกชนเพื่อติดตามทวงถามหนี้ วิธีการแบบนี้ เคยมีนักธุรกิจที่ไม่เห็นด้วยกับการล้างหนี้ กยศ. จนพอมาเห็นตัวเลขงบประมาณในการทวงถามหนี้ซึ่งสูงมาก พอกับยอดหนี้ที่พึงได้รับ นักธุรกิจท่านนั้นก็บอกว่า ยุบองค์กรนี้แล้วทำมหาวิทยาลัยเรียนฟรียังดีเสียกว่า
ในฐานะที่ตนสอนหนังสือเป็นอาชีพมาตลอด ตนกล่าวได้ว่า จริง ๆ แล้ว มันไม่มีเด็กเรียนเก่ง เด็กเรียนไม่เก่ง มันมีแค่เด็กที่มีความพร้อมมากกว่า มีความพร้อมน้อยกว่า 80% คือเรื่องฐานะทางเศรษฐกิจ ถ้าจะให้ยุติธรรม ลองให้คนได้เริ่มต้นเท่ากันดู ด้วยการให้เรียนฟรีเหมือนกัน มีเงินช่วยค่าครองชีพให้ได้เริ่มต้นเท่ากัน แล้วพอหลังจากนั้น คุณจะค่อยไปควานหาเด็กที่เรียนเก่งกว่ามาสนับสนุนต่อยอด ก็เป็นเรื่องที่รับได้ ทั้งนี้นอกจากการศึกษาฟรีแล้ว การให้เรียนโดยมีเงินช่วยค่าครองชีพก็เป็นเรื่องสำคัญ จริงอยู่ว่าบางคนได้เงินแล้ว ก็อาจเอาไปใช้เรื่องสันทนาการส่วนตัวบ้าง แต่ข้อเท็จจริงคือ เด็กเหล่านี้ก็ต้องมีค่าครองชีพในการเดินทางมาเรียน จ่ายค่าหอพัก ค่ากินอยู่ก่อน หลายคนก็ต้องไปหารายได้ส่วนต่างเอาเองด้วย เท่านี้ก็ผิดกันโดยสิ้นเชิงแล้วเมื่อเทียบกับคนที่มีความพร้อม ชีวิตไม่ต้องดิ้นรน
ษัษฐรัมย์ ยังชี้ว่าเราสามารถทำเรื่องการศึกษาฟรีและล้างหนี้จากการศึกษาได้ อย่างในงบประมาณแผ่นดินปี 2566 การมียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่ทำให้กระทรวงทบวงกรมต่าง ๆ ทำแผนการใช้งบให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งในหมวดการสร้างความเท่าเทียมและลดความเหลื่อมล้ำ มีการตั้งงบไว้ 7 แสนกว่าล้านบาท คิดเป็น 20% ของงบรายจ่ายของประเทศ แค่นี้ก็เห็นแล้วว่าประเทศเรามีเงิน แต่งบเหล่านี้ไปอยู่กับการฝึกอาชีพของกรมประมง การดูงานของกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งไม่ได้ถูกส่งตรงไปยังประชาชนคนส่วนใหญ่ ทำโครงการแบบนี้กันมาหลายปีแล้ว ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลย ถ้าเราต้องการทำให้มหาวิทยาลัยเรียนฟรีทั้งระบบ คือเรียนฟรีทั้งมหาวิทยาลัยรัฐและเอกชน ก็ทำเหมือนระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือประกันสังคมที่ทำให้คนมารับบริการโดยไม่มีค่าใช้จ่ายได้ โดยรัฐเป็นเจ้าภาพ แค่เปลี่ยนบท กยศ. จากการเป็นกองทุนหมุนเวียนที่ต้องจ่ายเงินกู้คืนกลับมา ให้กลายเป็นองค์กรที่ทำงานเหมือนสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ใช้งบประมาณ 1.6 แสนล้านบาทต่อปีสำหรับการทำให้ทุกคนได้เรียนปริญญาตรีฟรีตามค่ากลางที่ กยศ. ก็เป็นคนกำหนดเอง ว่าแต่ละหลักสูตร กยศ. ให้กู้ได้เท่าไหร่ ให้ค่าครองชีพได้เท่าไหร่ คิดในฐานประชากรที่ว่าคนมีแนวโน้มจะเรียนมหาวิทยาลัยเพิ่ม ก็จะทำให้เกิดมหาวิทยาลัยเรียนฟรีมีเงินเดือน แต่ถ้าเราอยากให้คนตั้งแต่ระบบ ป.1 - ม.6 ไม่มีคนตกออกเลย
ซึ่งปัจจุบันเด็กเข้า ป.1 จำนวน 100 คน ได้เข้าเรียนต่อถึงมหาวิทยาลัยแค่ปีละ 30 คนเท่านั้น ด้วยข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ ถ้าเราสนับสนุนได้วันละ 80 - 100 บาทต่อคน เด็กจะอยู่ในระดับการศึกษาตั้งแต่ ป.1 - ม.6 ได้ขึ้นมาถึง 70 - 80% รวมทั้งหมดก็ประมาณ 4 แสนกว่าล้านบาท ช่วยให้เด็กมีโอกาสเรียนจนถึง ม.6 ทวีคูณ 2 - 3 เท่าเลย โดยที่เรียนฟรีแล้วยังมีเงินอุดหนุนค่าครองชีพด้วย ซึ่งไม่ต้องกลัวว่าพอเรียนฟรีแล้วคนจะแห่กันมาเรียน เพราะสุดท้ายแต่ละคนก็มีเงื่อนไขการตัดสินใจในชีวิตไม่เหมือนกัน แม้แต่ในประเทศที่ระบบการศึกษาและรัฐสวัสดิการดีมากๆก็ไม่เคยเกิดปรากฎการณ์แบบที่เรากลัวกันไปเองแบบนั้น ที่สำคัญคือผู้ประกอบการเองที่จะมีโอกาสได้แรงงานที่มีทักษะมากขึ้น ส่วนการล้างหนี้การศึกษานั้น ตอนนี้เรามียอดหนี้ประมาณ3แสนล้านบาท ซึ่งไม่ได้จำเป็นต้องล้างหมดทันที เพราะในทางเทคนิคเงินเหล่านี้ครึ่งหนึ่งเป็น NPL เพราะเป็นเงินที่ปล่อยกู้ให้คนจนในระบบสังคมที่เหลื่อมล้ำ คนสามารถที่จะใช้หนี้ได้เป็นส่วนมากอยู่แล้วเป็นภาวะปกติ กยศ. ก็ไม่ได้ขาดทุนอะไรมาก อาจเริ่มที่การพักชำระหนี้ เหมือนที่สหรัฐอเมริกาทำในตอนนี้ พักชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย จากนั้นก็วางเงื่อนไขตามมา เช่น เรื่องอายุ หรือคนที่ทำงานในภาคการบริการสาธารณะ (Public Services) ไม่ว่าจะเป็นส่วนของรัฐ ท้องถิ่น องค์กรไม่แสวงหากำไร หรือภาคด้านสาธารณสุขที่บุคลากรกำลังขาดแคลน ก็ให้เป็นช่วงเวลาการทำงานของเขาเป็นการลดหนี้ได้ 50% ถ้าใครทำตามเงื่อนไขนี้ เป็นต้น ทั้งนี้นี่คือการที่เราไม่ได้มองแค่ว่าตัวทวีคูณทางเศรษฐกิจ แต่เรามองไปถึงทวีคูณว่าด้วยความเสมอภาค (Equity Multiplier)
ด้านวรภัทร กรรมการ ครป. ในฐานะอดีตลูกหนี้ กยศ. ก็ได้บอกเล่าประสบการณ์ว่า ระบบการให้กู้ยืมของ กยศ. นั้น มันมีระบบที่คัดกรองความยากจน ซึ่งเป็นการตีตรากดทับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ดังที่ อ.ษัษฐรัมย์ ได้กล่าวมาข้างต้น นี่คือความจริง อย่างตนเองแม้ไม่ได้อยู่ในครอบครัวที่ยากจนขนาดเกิดในสลัม อยู่บ้านมุงหลังคาสังกะสี แต่ก็ไม่ได้มีฐานะที่ดีและมั่นคง ซึ่งทีนี้ภายใต้ระบบการคัดกรองความยากจน มันก็ตีตราชีวิตของตนไม่ให้มีโอกาสใด ๆ ที่จะแสวงหาความสุขให้ตนเอง แต่งตัว ทานอาหาร หรือทำในสิ่งที่ตนเองอยากทำ
การเป็นลูกหนี้ กยศ. แล้วต้องใช้ชีวิตแบบที่สังคมมองว่า กยศ. คือสวัสดิการสำหรับคนยากไร้อนาถา แต่ก็มีเงื่อนไขที่ย้อนแย้งคือ ต้องไปหาผู้ค้ำประกันเซ็นเอกสารการขอกู้เงิน ซึ่งตนยังโชคดีที่มีญาติรับราชการช่วยเซ็นให้ได้ และมีบางครั้งที่ตนกำลังจะยื่นเอกสารไม่ทัน ก็ได้รับความกรุณาจากผู้อำนวยการโรงเรียนในพื้นที่ชุมชนรอบข้างมหาวิทยาลัยที่ตนจัดกิจกรรมอาสาสมัครนักศึกษาช่วยสอนหนังสืออยู่ ช่วยเซ็นค้ำประกันให้ และพอเรียนจบออกมาทำงานแล้ว ก็ยังต้องใช้ชีวิตอยู่ในกรอบสังคมตีตราความยากจน กระทั่งพอถึงจุดหนึ่งที่ตนพอเริ่มมีความสามารถในการหาเงินได้ในระดับหนึ่ง ตนก็อยากปลดปล่อยตัวเองจากพันธนาการที่ถูกผูกมานับ 10 ปี จึงตัดสินใจชำระหนี้แบบปิดยอดหนี้ก่อนกำหนด ทั้งนี้ หากตนชำระยอดหนี้ตามกำหนดระยะเวลา ตนจะมีหนี้ กยศ. ติดตัวไปจนถึงอายุ 40 กว่าเลยทีเดียว ซึ่งการปิดยอดหนี้ก่อนกำหนดของตนนั้น ก็ไม่ได้รับมาตรการจูงใจช่วยเหลือใด ๆ จากทาง กยศ. เลย
ปัจจุบัน ตนพบว่ามีเงื่อนไขสุดประหลาดเพิ่มขึ้นมาอีกในการกู้เงิน กยศ. คือการสะสมชั่วโมงจิตสาธารณะเพื่อเป็นส่วนในการได้รับพิจารณากู้เงินในปีการศึกษาถัดไป ในฐานะที่เป็นนักกิจกรรมตั้งแต่วัยเรียน เป็นผู้นำในองค์กรนักศึกษา มีผลงานกิจกรรมระดับประเทศ ได้รับพระราชทานรางวัลเป็นเด็กและเยาวชนดีเด่นแห่งชาติ ก็คิดว่า หากตนต้องกู้ กยศ. ภายใต้เงื่อนไขนี้ มันก็คงไม่ใช่เงื่อนไขที่ตนจะลำบากอะไรนัก แต่เมื่อพูดในมุมองของการเป็นผู้จัดกิจกรรม ตนกล่าวเลยว่า ตนยินดีที่จะจัดกิจกรรมที่มีผู้เข้าร่วมแค่ 2 คน มากกว่าที่จะประสบความสำเร็จเชิงปริมาณผู้เข้าร่วมที่มาเพียงเพื่อสะสมชั่วโมงจิตสาธารณะแบบนี้ และที่จริง การกู้ กยศ. มันก็เป็นเงินกู้ที่ผู้กู้มีภาระหน้าที่ผูกพันในการชำระหนี้ การบังคับทำกิจกรรมสะสมชั่วโมงจิตสาธารณะจึงดูไม่สมเหตุสมผลมาก ๆ
ทั้งนี้ การสนทนาเรื่องล้างหนี้กยศ. ยุติธรรม หรือเอาเปรียบสังคม ? ยังมีผู้เข้าร่วมขึ้นมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างหลากหลาย รวมถึง เมธา มาสขาว เลขาธิการ ครป. และผู้อำนวยการสถาบันสังคมประชาธิปไตย ที่เสนอเรื่องการปฏิรูปภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ขจัดการผูกขาดทรัพยากรของส่วนรวม และมีสมาชิกพรรคไทยสร้างไทยที่อภิปรายถึงเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนในการทำให้การศึกษาเป็นธุรกิจ โดยที่ กยศ. เป็นหนึ่งในเครื่องมือสนองผลประโยชน์ด้วย
ท่านที่สนใจสามารถรับฟังย้อนหลังได้ที่ >>> Clubhouse