จับมือสื่อสาร เรียนรู้ความแตกต่างผ่านการเรียนภาษามือ
“ดีใจที่ได้เห็นทุกคนมาร่วมงานวันนี้นะครับ ขอใช้คำว่า ‘เห็น’ แม้จริง ๆ แล้วผมจะมองไม่เห็น”
เสียงพูดติดตลกของ เฟิร์ส พิธีกรหลัก ชายหนุ่มพิการทางสายตา อายุ 24 ปี ดังขึ้นเพื่อทักทายผู้คนกว่า 30 ชีวิต ที่มารวมตัวกันโดยนัดหมาย ในบ้านไม้สองชั้นกลางซอยสิทธิชัย ถนนกรุงเทพ–นนท์ ช่วงบ่ายวันเสาร์ที่ 21 กันยายน 2568 HON BKK : House of Well Being แปรสภาพเป็นพื้นที่ปลอดภัย ให้กลุ่ม Unseen Horizon ซึ่งมีสมาชิกหลักเป็นคนตาบอด 6 คน ได้แก่ เฟิร์ส วิน เต๋า กิ๊ฟ เตยและบิว ใช้จัดกิจกรรม "จับมือสื่อสาร เรียนรู้ความแตกต่างผ่านการเรียนภาษามือ” เนื่องในวันภาษามือสากล ซึ่งตรงกับวันที่ 23 กันยายน เพื่อส่งเสริมทักษะด้านภาษามือ ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความหลากหลายในสังคมให้แก่ผู้พิการกลุ่มต่างๆ และบุคคลทั่วไป ผ่านการเรียนรู้และพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิด
โดยผู้เข้าร่วมกิจกรรม มีทั้งนักจิตวิทยาที่อยากสื่อสารกับคนหูหนวก คนที่อยากจะเป็นล่าม นักเรียนนักศึกษา คนทั่วไปที่สนใจภาษามือ ผู้พิการประเภทต่าง ๆ เช่น ผู้พิการด้านสมองและการเคลื่อนไหว และผู้พิการทางสายตา ที่หลายคนอาจสงสัยเป็นพิเศษ ว่าคนตาบอดกับคนหูหนวกจะสื่อสารกันอย่างไร ทุกท่านจะได้รู้ไปพร้อมกันหลังจากนี้

เกมสตาร์ท ! เมื่อล่ามภาษามือ 2 คน เริ่มแปลคำพูดของพิธีกรให้ บิง ธีรศักดิ์ และ ณ้อง สรายุทธ วิทยากรมืออาชีพ จากชมรมคนหูหนวกไทยฟ้าสีรุ้ง ด้วยท่าทางที่คนส่วนใหญ่มองอย่างไรก็ไม่เข้าใจ บิง ประธานชมรมคนหูหนวกไทยฟ้าสีรุ้ง ใช้มือที่ทำท่าเหมือนเลขสี่แบบนิ้วติดกัน แตะลงไปที่แก้ม เพื่อแนะนำชื่อของตัวเองให้ทุกคนรู้จัก ล่ามอธิบายให้ทุกคนเข้าใจว่า การตั้งชื่อของคนหูหนวกนั้นแตกต่างจากคนทั่วไป เมื่อก่อนอาจถูกตั้งตามลักษณะเด่นของแต่ละคน เช่น ท่าจิ้มไฝ ท่าจับแว่น แต่ภายหลังมาถูกปรับเปลี่ยนเป็นลักษณะหรือท่าทางที่ตัวเองชอบ เช่น คนชื่อปลา ก็อาจจะทำท่ามือประกบกันแล้วขยับข้อมือไปมาเหมือนปลาว่ายน้ำ หรืออาจใช้ภาษามือที่เป็นตัวพยัญชนะก็ได้ เหมือนกับบิงที่ทำท่า “บ.ใบไม้" แล้วเอาไปแตะที่แก้มเผื่อสื่อถึงตัวเอง
บิงเล่าต่อด้วยความเงียบว่า เรียนจบจากมหาวิทยาลัยสวนดุสิต สาขาวิชาคหกรรมศาสตร์ เป็นหนึ่งในผู้ที่สนับสนุนให้คนหูหนวกเข้าถึงบริการทางการแพทย์ และทำกิจกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับภาษามือ ผลักดันคนทั่วไปให้เข้าถึงข้อมูลในการสื่อสาร เพื่อที่สังคมจะเข้าใจ เกิดการยอมรับ แล้วสนับสนุนกันให้เกิดความเท่าเทียม ขณะที่ ณ้อง วิทยากรอีกคนหนึ่ง ที่ดูร่าเริงและขี้เล่นกว่าบิง ยกมือขึ้นมาบริเวณหน้าผาก แล้วปาดออกไปด้านข้างคล้ายท่าลูบผม นี่คือชื่อของณ้อง ที่ต้องการแสดงให้เห็นว่า ลักษณะเด่นของเจ้าตัว คือผมหน้าม้าสีน้ำตาลทอง ที่ดูออกจะ ‘เลิศเลยล่ะ’ ทั้งสองคนเรียนจบที่เดียวกัน และเป็นเพื่อนสนิทที่ช่วยกันเรียน จนปัจจุบัน ณ้องกลายมาเป็นรองประธานชมรมคนหูหนวกไทยฟ้าสีรุ้ง ซึ่งปกติเขาไม่ค่อยได้เจอกับคนพิการประเภทอื่น วันนี้จึงตื่นเต้นและยินดีอย่างมากที่ได้รู้จักทุกคน

ภาษาในความเงียบ
“คนมักจะบังคับให้พูด ให้พูด ให้พูด พอบอกว่าเราเป็นคนหูหนวก เขาก็มักจะให้เขียน” บิงเล่าพร้อมมือที่ขยับอย่างรวดเร็ว เต็มไปด้วยความรู้สึกส่งออกทางสีหน้า ว่านี่คือความเข้าใจผิดของคนทั่วไป คนหูหนวกแต่กำเนิด น้อยคนมากที่จะเขียนหนังสือได้ มันยาก เพราะเขาไม่ได้เข้าใจภาษาไทยทุกคำ ไม่เข้าใจระดับภาษา อีกทั้งไวยากรณ์มีตำแหน่งไม่เหมือนกัน ทำให้เกิดความสับสน
ไวยากรณ์ของภาษามือเริ่มจาก กรรม ประธาน และ กิริยา ตัวอย่างประโยค “ฉันไปโรงเรียน" แต่ภาษามือจะเอากรรม ขึ้นก่อน กลายเป็น “โรงเรียนฉันไป" นี่คือสาเหตุว่าทำไมคนหูหนวกถึงพิมพ์สลับคำกันในบางครั้ง คนหูหนวกเกิดมาพูดไม่ได้ และไม่รู้ว่าต้องคุยอย่างไร จึงใช้ท่าทางธรรมชาติ เช่น ท่าตักข้าวกิน แต่เพื่อให้สารถูกส่งไปหาผู้อื่นได้ถูกต้อง จึงมีการสร้างภาษามือมาตรฐานขึ้นมา โดยแต่ละประเทศก็ใช้ไม่เหมือนกัน แค่ประเทศไทยเอง แต่ละภาคก็ต่างกัน เหมือนภาษาท้องถิ่นตามภูมิภาค
“เราเป็นคนใต้ ตอนขึ้นมาเรียนที่กรุงเทพฯ บางคำก็ไม่รู้เรื่อง ต้องถามเอาว่าคำนั้นหมายความว่ายังไง” ณ้องเล่า
คนหูตึงบางคนก็อ่านปากได้ แต่ไม่ใช่ทุกคน โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้ยินเลย 100% ส่วนใหญ่อ่านปากไม่ได้ และคำว่าอ่านได้นั้น วัดจากคำสั้นๆ บางคำของคนที่คุ้นเคย ไม่ใช่รูปประโยคยาวๆ หรือจากใครก็ได้ การเสพสื่อต่าง ๆ จึงเป็นอีกเรื่องที่ยาก โดย ปราง ล่ามภาษามือคนหนึ่งได้บอกเอาไว้ว่า "คนหูหนวกไม่ดูละครไทย" เพราะละครไทยไม่สามารถเข้าถึงคนหูหนวกได้ แต่หากเป็นซีรีส์หรือหนังต่างประเทศ ที่มีคำบรรยายภาษาไทยประกอบภาพ ก็จะทำให้เข้าใจมากขึ้น ไม่อย่างนั้นก็จะคล้ายกับการดูละครใบ้ ต้องอาศัยการสังเกตสีหน้าท่าทางของตัวละคร ที่ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้
ดังนั้นทั้งคนหูหนวก คนหูตึง และคนหูหนวกตาบอด (Deafblind) จึงต้องใช้ภาษามือเป็นหลัก ถึงจะสื่อสารกับสังคมได้

ภาษามือเพื่อชุมชน LGBTIQAN+
หลายครั้ง คนหูหนวกที่ไม่ได้มีรสนิยมทางเพศสอดคล้องกับเพศกำเนิดไม่กล้าเปิดเผยตัวเอง ถามกับตัวเองว่า “เราจะเปิดเผยกับครอบครัวได้หรือเปล่า” เพราะความเข้าใจและยอมรับไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกครอบครัว จึงจำเป็นต้องมีคำอธิบายเรื่องอัตลักษณ์ กฎหมายและสิทธิให้ชัดเจน เพื่อให้ครอบครัวคนหูหนวกเองได้ค่อย ๆ เรียนรู้ไปพร้อมกัน คำศัพท์เฉพาะทางเหล่านี้ จึงเป็นเรื่องท้าทายต่อการพัฒนาภาษามืออย่างมาก
ปัจจุบัน ชมรมคนหูหนวกไทยฟ้าสีรุ้ง ร่วมกับภาคีเครือข่าย ได้คำสร้างใหม่ออกมาถึง 76 คำ เช่น เกย์ เลสเบียน คนข้ามเพศ ยา PrEP Nonbinary Homophobia การละเมิดทางเพศ เทคฮอร์โมน เป็นต้น ซึ่งถ้าผ่านการบัญญัติจากสมาคมคนหูหนวกแห่งประเทศไทย ลงในระบบของคำภาษามือแล้ว ก็จะมีการเผยแพร่คำเหล่านี้ในขั้นตอนต่อไป เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อการสื่อสารเรื่องสุขภาวะ และการประชาสัมพันธ์ให้คนหูหนวกในชุมชน LGBTIQAN+ ได้ทราบถึงสิทธิของตัวเอง เช่น ทุกวันนี้ประเทศไทยมีกฎหมายสมรสเท่าเทียมแล้ว หนึ่งในกรณีที่ชมรมทราบ คือในภาคเหนือมีคู่รักที่ไปสมรสกันถึง 2 คู่

ความท้าทายของการเรียนรู้ภายใต้ความพิการหลากหลาย
วิทยากรขอให้ผู้เข้าร่วมทุกคนนั่งเป็นครึ่งวงกลม ห้ามนั่งเรียงหน้ากระดาน ด้วยเหตุผลว่าทุกคนต้องมองเห็นกันและกันในขณะสื่อสาร ต้องสบตา มองสีหน้า เห็นตำแหน่งการเคลื่อนไหวของมือไม้ ส่วนเพื่อนที่สายตามองไม่เห็น ต้องจับคู่กับเพื่อนที่มองเห็น ภาษามือของแต่ละประเทศมักยึดโยงกับวัฒนธรรม ประเทศไทยก็เช่นกัน เริ่มจากคำง่าย ๆ อย่างสวัสดี สามารถยกมือไหว้ได้ตามปกติหากคุยกับผู้ใหญ่หรือคนไม่สนิท แต่ถ้าอยากให้เป็นกันเองขึ้นมาสักหน่อย สำหรับทักทายเพื่อนหรือคนที่อายุน้อยกว่า ให้ทำตามบิงและณ้องตามขั้นตอนต่อไปนี้
ยกมือข้างที่ถนัดของตัวเอง มาแตะไว้ที่ศีรษะด้านหน้า เหนือคิ้วขึ้นไปตรงไรผม แล้วผายมือออกมาด้านหน้า 1 ครั้ง นี่คือการสวัสดี หรือท่าปรบมือของคนหูหนวกที่ใช้เป็นสัญลักษณ์ในการเรียกความพร้อม ชูมือทั้งสองข้างขึ้นมาบริเวณอกหรือไหล่ แล้วสะบัด คล้ายกับกองเชียนร์ตอนสะบัดพู่
เมื่อยกระดับความยากขึ้น แม้แต่คนตาดียังทำผิด ปัญหาจึงค่อยๆ เกิด เพราะถ้าพลิกมือผิดเล็กน้อยความหมายของคำก็จะเปลี่ยนไปเลย เช่น คำว่า “ชื่อ” กับคำว่า “เก้าอี้” ที่ใช้สองมือ ชูนิ้วเป็นเลขสองขึ้นมา แล้วเคาะกัน 2 ครั้ง โดยให้นิ้วกลางของมือที่อยู่ด้านบน กระทบกับนิ้วชี้ของมือที่อยู่ด้านล่าง จึงแปลว่าชื่อ แต่เมื่อไหร่ที่เราคว่ำมือแล้วเคาะกัน 2 ครั้ง โดยท้องนิ้วชี้และนิ้วกลางมือด้านบน กระทบกับหลังนิ้วชี้และนิ้วกลางของมือด้านล่าง นั่นคือเก้าอี้ แต่ยังไม่หมด หากคุณเคาะครั้งเดียว นั่นหมายถึงการนั่ง
การทำท่าทางให้ถูกต้อง สำหรับคนตาบอดแล้ว อาจไม่ยากเท่าการรับรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามบอกอะไร การเรียนรู้ภาษามือของคนที่เป็น ประเภทหูหนวกตาบอด (deafblind) จึงยากกว่าคนทั่วไปมาก เพราะไม่สามารถมองเห็นอารมณ์ความรู้สึก หรือท่าทางของคู่สนทนาได้เลย แล้วยังต้องใช้การสัมผัสร่างกายของกันละกัน เพื่อให้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังทำท่างท่างอะไรอยู่ ถึงจะสื่อสารกันรู้เรื่อง ซึ่งวิธีการนี้ไม่เป็นที่ยอมรับมากนักในประเทศไทย ส่วนหนึ่งอาจด้วยกรอบวัฒนธรรมที่ครอบทับเอาไว้ อย่างการไม่ถูกเนื้อต้องตัวกัน โดยเฉพาะชาย-หญิง ซึ่งบางท่าทางก็อยู่ในบริเวณที่อ่อนไหว เช่น หน้าอก หน้าท้อง เป็นต้น นี่จึงเป็นอีกโจทย์ใหญ่ในการพัฒนาภาษา เครื่องมือ หรือระบบที่ใช้สนับสนุนต่อไปในอนาคต ไม่ใช่แค่กลุ่มที่หูหนวกตาบอดแต่กำเนิดอย่างเดียวเท่านั้นที่ประสบปัญหา แต่ยังมีกลุ่มหูหนวก ที่กำลังจะกลายเป็นคนตาบอด จากปัญหาสุขภาพสายตาตามอายุไข ที่มีแนวโน้มมากขึ้นด้วย

การศึกษาในโลกเงียบ
“เรียนไม่เข้าใจ เหมือนอยู่ในโลกเงียบ เหมือนอยู่คนเดียว ไม่ได้คุยกับใคร” บิงเล่าถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากของตัวเองในวัยเด็ก สมัยนั้นเขาอาศัยอยู่กับครอบครัวที่จังหวัดปัตตานี แม่ก็ต้องการให้เขาอยู่ใกล้บ้าน แต่ระแวกที่อยู่ไม่มีคนหูหนวกเลย ไม่มีใครเข้าใจเขาจนกระทั่งมีโอกาสย้ายมาเรียนโรงเรียนคนหูหนวกในกรุงเทพฯ
ที่นี่เป็นโรงเรียนประจำ ใช้เวลา 5-6 วัน บิงก็ปรับตัวได้ อยู่ที่นี่เขาได้เป็นส่วนหนึ่ง มีเพื่อนที่ ‘พูดคุย’ ด้วยได้ เขาเริ่มมองเห็นท่าทางที่เพื่อน ๆ ใช้ เริ่มเรียนภาษามือและทักษะการใช้ชีวิต โลกของเขาจึงเปลี่ยนไปนับตั้งแต่นั้น ...จนกระทั่งเดินทางมาถึงยุคแห่งเทคโนโลยี ช่วงที่เขาศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี สามารถส่งรูป ส่งวิดีโอให้กันได้ การสื่อสารของเขากับคนทั่วไปจึงง่ายขึ้น
ล่ามภาษามือ เล่าเพิ่มเติมว่า การเรียนของคนหนูหนวกกับคนหูดี แม้เป็นระดับชั้นเดียวเดียวกัน หลักสูตรวิชาเหมือนกัน แต่เนื้อหาที่เรียนต่างกัน หากเราอยู่ ป. 6 เนื้อหาในหนังสือที่อ่านก็อาจจะเป็นของ ป. 3 การเรียนในระดับชั้นที่สูงขึ้นอย่างปริญญาตรี-โท-เอก จึงแทบจะไม่พบในไทยเลย นอกเสียจากบางคนที่มีโอกาสได้ไปเรียนต่อต่างประเทศ ซึ่งที่นั่นก็จะเปิดกว้าง มีมุมมองและระบบสนับสนุนแตกต่างจากไทย ผู้พิการทางหูในไทย ส่วนใหญ่จึงเลือกเรียนในสาขาที่ได้ลงมือปฏิบัติจริง และสามารถนำวิชาความรู้ไปหาเลี้ยงชีพตัวเองต่อได้มากกว่า
“โอกาสมันถูกจำกัดตั้งแต่ต้นทาง มันถูกจำกัดตั้งแต่ครอบครัวแล้ว”

ปรัศนีเรื่องสิทธิในการสื่อสาร
ก่อนหน้านี้มี TTRS ระบบล่ามภาษามือทางโทรศัพท์ เป็นระบบที่อำนวยความสะดวกในการสื่อสารให้แก่ผู้พิการทางการได้ยินและหูดีตลอด 24 ชั่วโมง แค่สมัครสมาชิก ก็สามารถใช้บริการได้ฟรี ให้บริการหลายช่องทาง ทั้งแอปพลิเคชัน TTRS Message, TTRS Live Chat, TTRS Video และ TTRS Video Phone ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากต่อคนกลุ่มนี้ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีเหตุร้าย ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน โดยล่ามจะช่วยประสานงานต่อให้
แต่น่าเสียดายที่ TTRS ต้องปิดให้บริการล่ามภาษามือทุกระบบชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2568 จนถึงปัจจุบัน เนื่องจากประสบปัญหาขาดแคลนงบประมาณจาก กสทช. หรือ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ มา 2 ปี แล้ว ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาอนุมัติโครงการ และจะได้รู้ผลในช่วงเดือนกันยายนนี้ ตามที่กสทช.แจ้งไว้ ยังมีอีกหลายคนที่อยากสนับสนุนการเข้าถึงในเรื่องอื่น อย่างการตั้งวง “สุขภาพจิต” ที่ไม่ใช่แค่พูดคุยเรื่องการทำงาน แต่เป็นพื้นที่บริการด้านสุขภาพจิตที่ให้ความสำคัญกับคนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะคนที่สิ้นสุดการรักษาแล้ว คนหูหนวก และกลุ่ม LGBTQ+ ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับความรู้ที่เพียงพอ บางครั้งยังถูกกดขี่หรือไม่เข้าใจสิทธิของตนเอง
ชมรมคนหูหนวกไทยฟ้าสีรุ้ง จึงอยากร่วมสร้างความกล้าหาญให้กับทุกคน ในเข้าสังคมให้ได้อย่างคนทั่วไป การเข้าร่วมขบวนพาเหรดการเรียกร้องสิทธิต่าง ๆ การจัดอบรมเรื่อง พ.ร.บ. ความพิการ และ พ.ร.บ. ความเท่าเทียม ให้ทุกคนมีความรู้ มีความมั่นใจด้วยกฎหมาย สามารถถ่ายทอดความรู้สึกของตนเองออกมา เพราะบางคนในชุมชชนเพศหลากหลาย พวกเขาก็ควรได้รู้ว่าตัวเองมีสิทธิ์เปิดเผยตัวตนหากต้องการ และรับโอกาสที่จะมีความสุขร่วมกับทุกคน
เวลาล่วงเลยถึงช่วงสุดท้ายของกิจกรรม เราต่างก็ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันตลอดช่วงบ่าย ภาษามือหลายคำค่อย ๆ ถูกส่งเข้าสมอง ผ่านกล้ามเนื้อนิ้วและข้อต่อจนบางคนเริ่มปวดเกร็ง เราจึงได้รู้ว่าภาษามือนั้นไม่ง่าย ถึงกระนั้น สีหน้าของทุกคนก็ยังเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม และความภาคภูมิใจเหมือนได้ก้าวผ่านกำแพงขนาดใหญ่ ที่กั้นเราไว้จากคนอื่น แน่นอนว่ากิจกรรมในวันนี้ย่อมไม่ราบรื่น หากขาดล่ามสาวคนเก่งทั้ง 2 คน ทุกถ้อยคำของวิทยากรถูกถ่ายทอดผ่านล่ามภาษามือทั้งสิ้น อีกหนึ่งอาชีพที่ประเทศกำลังขาดแคลน
คนที่เรียนภาษามือต้องอาศัยความเข้าใจทักษะการฟัง จับใจความ และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเพราะบางคำไม่มีอยู่ในระบบ กว่าจะสามารถแปลสารได้รวดเร็วและแม่นยำ ต้องผ่านการฝึกฝนและสั่งสมประสบการณ์อยู่หลายปี และมันจะดีแค่ไหนหากเราสามารถสื่อสารกับคนอีกหลายๆ กลุ่มได้โดยตรงด้วยตัวเอง กิจกรรมนี้จึงไม่ใช่เพียงการสอนภาษามือ แต่เป็นการนำความแตกต่างมารวมกัน เพื่อสร้างความเข้าใจและส่งเสริมการอยู่ร่วมกันในสังคม ให้ได้อย่างเท่าเทียมต่อไปในอนาคต