สภาพัฒน์-สสป. ดึง “พลังประชาสังคม” เป็นหุ้นส่วนหลักรัฐบาลปลดล็อกข้อจำกัดสู่การดูแลกลุ่มเปราะบางอย่างยั่งยืน
เน้นปฏิรูปกฎหมาย ระบบงบประมาณ พร้อมผลักดัน CSOs เป็นผู้จัดบริการในระบบสวัสดิการสังคมอย่างเป็นทางการ
ปลายเดือนกันยายน 68 ที่ผ่านมา สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ร่วมกับ สถาบันส่งเสริมภาคประชาสังคม (สสป.) จัดกิจกรรมหารือเชิงนโยบาย (Policy Dialogue) เรื่องแนวทางส่งเสริมภาคประชาสังคม หนุนเสริมการจัดบริการของรัฐ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่มเปราะบาง
โดยมี นางสาววรวรรณ พลิคามิน รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นประธาน มีผู้เข้าร่วมกว่า 140 คน จากหน่วยงานภาครัฐที่สำคัญ เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.), สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.), หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.), สำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สสส. , สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.)ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.), นอกจากนี้ยังมีผู้แทนภาคประชาสังคมที่ทำงานดูแลกลุ่มเปราะบางจาก 10 จังหวัด ได้แก่ พะเยา ลำพูน ร้อยเอ็ด สุรินทร์ อุบลราชธานี จันทบุรี สุพรรณบุรี ชุมพร สตูล และปัตตานี เข้าร่วมด้วย
สาระสำคัญของการประชุมเน้นย้ำว่า เมื่อโครงสร้างประชากรไทยกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากใน 10 ปีข้างหน้า หากยังคงใช้ปัจจัยนำเข้าแบบเดิม อาจทำให้ความเหลื่อมล้ำเพิ่มขึ้นได้ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ภาครัฐต้องระดมพลังของภาคประชาสังคม (CSOs) เข้ามาช่วยเหลือนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ภาคประชาสังคมจึงถือเป็นทุนทางสังคมที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ

ประชาสังคมคือ ต้นทุนที่จำเป็นต่อการลดความเหลื่อมล้ำ
น.ส.วรวรรณ พลิคามิน รองเลขาธิการ สศช. ได้นำเสนอว่า องค์กรภาคประชาสังคม (CSOs) ตามนิยามของคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม (คสป.) หมายถึง องค์กรพัฒนาเอกชน, องค์กรภาคประชาชน, และพลังพลเมือง ที่มีวัตถุประสงค์ด้านการพัฒนาสังคม และไม่แสวงหากำไรมาแบ่งปันกันบทบาทสำคัญในการหนุนเสริมภาครัฐ มีหลากหลายตามภารกิจ เช่น เป็นหน่วยจัดบริการทางสังคม (Service Provider) สามารถเข้าถึงกลุ่มเปราะบางที่มีความต้องการเฉพาะ ซึ่งภาครัฐไม่สามารถให้บริการได้อย่างทั่วถึง, เชื่อมประสานการทำงานทั้งในระดับตำบลและระหว่างภาคีเครือข่ายในพื้นที่และนอกพื้นที่, พัฒนานวัตกรรมในการจัดบริการสาธารณะเพื่อกลุ่มเปราะบาง ฯลฯ
ที่ผ่านมา ได้เกิดโครงการนำร่องที่ได้รับการสนับสนุนหลากหลาย ตัวอย่างเช่น จาก สสส. สำนัก 9 ผ่านสถาบันส่งเสริมภาคประชาสังคม (สสป.) ที่มีพื้นที่ดำเนินงานใน 10 จังหวัด ได้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการหนุนเสริมการจัดบริการภาครัฐใน 3 กลุ่มเปราะบางหลัก ได้แก่
1. กลุ่มผู้สูงอายุเปราะบาง โดยมีส่วนร่วมค้นหาและสำรวจผู้สูงอายุที่ตกหล่นจากฐานข้อมูลรัฐ สร้างระบบดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชน โดยเฉพาะมิติทางด้านจิตใจ และเชื่อมโยงทรัพยากรจากภาคีเครือข่าย ช่วยเหลือรายกรณีให้ผู้สูงอายุเข้าถึงสวัสดิการและการบริการต่าง ๆ ได้มากขึ้น และภาครัฐได้ปรับปรุงฐานข้อมูลให้ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน
2. กลุ่มชาติพันธุ์/มีปัญหาสถานะทางทะเบียนด้วยการช่วยประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ จัดทำฐานข้อมูลผู้ตกหล่นทางสถานะ, ร่วมมือกับอำเภอ/โรงพยาบาล เพื่อประสานส่งต่อให้ผู้ป่วยที่ไม่มีเลข 13 หลัก เช่น ผู้ป่วยมะเร็งสามารถเข้าถึงการรักษาได้, สนับสนุนการสร้างอาชีพเพื่อเป็นช่องทางในการเข้าถึงบริการต่าง ๆ รวมถึงการสร้างเครือข่ายอาสาสมัครในพื้นที่เพิ่มขึ้น, เกิดการจัดทำคำขอขึ้นทะเบียนเพื่อมีบัตรประชาชนในกลุ่มที่ตกหล่น
3. กลุ่มสตรีมุสลิมถูกกระทำความรุนแรงบทบาทสำคัญที่ภาคประชาสังคมมีส่วนในการหนุนเสริมคือ การจัดตั้งศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตมุสลีมะห์ตามวิถีอิสลาม,การพัฒนามีอาสาสมัครทำหน้าที่ดูแล ให้คำปรึกษา ให้การช่วยเหลือ และรับเรื่อง-ส่งต่อผู้ประสบปัญหา

นักวิชาการเสนอ 4Ps Ecosystem เพื่อเติมเต็มความร่วมมือ
นอกจากนั้นอาจารย์อรรคณัฐ วันทนะสมบัติ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เสนอกรอบคิด “4Ps Ecosystem” ได้แก่ นโยบาย (Policy) – พื้นที่ขับเคลื่อน (Place) – ทุนในพื้นที่ (Potential) – ผลลัพธ์ร่วม (Product) เพื่อออกแบบระบบนิเวศการทำงานที่ประชาชนมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยวิเคราะห์ว่า ภาคประชาสังคมมีจุดเด่นสำคัญในการหนุนเสริมการจัดบริการภาครัฐ ดังนี้
- จุดเด่นของกลไกชุมชน (สภาองค์กรชุมชน, อสม./อพม.) สามารถรวบรวมข้อมูลได้ทันที มีความเข้าใจบริบทท้องถิ่น และระบุปัญหา/ความต้องการของกลุ่มเปราะบางได้อย่างแม่นยำมีกองทุนสวัสดิการชุมชนของตำบลเป็นเครื่องมือช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่สามารถปรับระเบียบให้เข้าถึงง่ายและลดข้อจำกัดด้านระบบราชการและเป็นช่องทางประสานงานระหว่างรัฐ ท้องถิ่น และองค์กรนอกพื้นที่ เพื่อรวบรวมทรัพยากร
- จุดเด่นขององค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) คือ เข้าใจสภาพปัญหาเชิงลึกจากการปฏิบัติงานต่อเนื่อง และสามารถวิเคราะห์ข้อจำกัดของภาครัฐเพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการออกแบบการดำเนินงาน มาพร้อมการทำงานไม่ถูกจำกัดด้วยกฎหมายและขั้นตอนของระบบการบริหารส่วนกลาง ทำให้ตอบสนองต่อปัญหาสังคมเฉพาะกลุ่มหรือพื้นที่ได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด
ซึ่งปัจจุบัน มีโอกาสทางนโยบายที่เปิดทางให้ภาคประชาสังคม ตั้งแต่กฎหมายและนโยบายที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งมุ่งเน้นให้ประชาชน ภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดบริการสาธารณะมากยิ่งขึ้นเช่น ร่าง พ.ร.บ. ยกระดับการบริหารงานภาครัฐให้มีความทันสมัย (มาตรา 63) / ร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม มีเจตนารมณ์เพื่อมุ่งเน้นส่งเสริมองค์กรภาคประชาสังคม ผ่านคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม (คสป.)
แต่ข้อท้าทายสำคัญ คือ ข้อท้าทายด้านกฎระเบียบและทรัพยากร’ซึ่งกฎระเบียบราชการที่แข็งตัวเป็นอุปสรรคสำคัญ เนื่องจากภาคประชาสังคมไม่สามารถรับงบประมาณโดยตรงจากรัฐได้ ต้องดำเนินงานผ่านหน่วยงานรัฐเท่านั้น ทำให้เกิดความล่าช้าและซับซ้อน รวมทั้งการใช้งบประมาณไม่สมดุล งบประมาณจังหวัดส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 70 เน้นโครงการโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้งบสำหรับการพัฒนาคุณภาพชีวิตและการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำมีน้อย และความไม่มั่นใจในระเบียบ เจ้าหน้าที่ อปท. ขาดความเข้าใจในแนวทางปฏิบัติของ พ.ร.บ. จัดซื้อจัดจ้าง พ.ศ. 2560 ทำให้ขาดความยืดหยุ่นและกลัวผิดระเบียบ
นอกจากนั้นยังมีข้อท้าทายด้านโครงสร้างและทัศนคติ ที่เกิดการโยกย้ายข้าราชการบ่อยครั้ง ทำให้การดำเนินงานขาดความต่อเนื่อง ข้อมูลของรัฐไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในพื้นที่ และข้อมูลที่ภาคประชาสังคมนำเสนอ มักถูกมองว่าขาดหลักวิชาการและไม่ถูกนำมาใช้อย่างเป็นทางการ แม้กระทั่งการที่ภาครัฐยังไม่มองภาคประชาสังคมเป็นหุ้นส่วนการพัฒนา แต่มีลักษณะอาศัยผลงานมากกว่าการร่วมสร้าง (Co-production) อย่างจริงจัง และมีการตรวจสอบที่เน้นจับผิดเกินไป

สิ่งจำเป็นของภาคประชาสังคม คือ การเสริมสร้างความเข้มแข็งและความเป็นมืออาชีพ
เพื่อให้ภาคประชาสังคมสามารถก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่างามและยั่งยืน อาจารย์อรรคณัฐ วันทนะสมบัติ ได้จัดทำข้อเสนอสำคัญ โดยเฉพาะความจำเป็นต้องมีการยกระดับตนเองของภาคประชาสังคมในหลายมิติ ได้แก่
- พัฒนาสู่ Social Enterprise (SE) ส่งเสริมให้ภาคประชาสังคมที่มีความพร้อมพัฒนาไปเป็น SE หรือธุรกิจเพื่อสังคม เพื่อสร้างความยั่งยืนด้วยตนเองและลดการพึ่งพิงทุนจากรัฐ
- ภาคประชาสังคมควรกล้าที่จะเปิดการประเมินแบบ Social Return on Investment (SRI) เพื่อวัดความคุ้มค่าของการใช้เงินสนับสนุน ซึ่งทั้งภาครัฐและภาคประชาสังคมต่างฝ่ายต่างต้องถูกประเมินว่าใช้เงินคุ้มค่า
- ภาคประชาสังคมควรมี Self-evaluation หรือ Mindset ในการทบทวน ประเมินตนเอง และปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
- สนับสนุนให้ CSOs มีทักษะด้านวิชาการ เพื่อทำงานด้านฐานข้อมูลสาธารณะและ evidence-based advocacy
สำหรับการประชุมครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้มีการศึกษาบทบาทภาคประชาสังคมอย่างจริงจัง เนื่องจากความจำเป็นในการลดความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้นโดยมีหมุดหมายที่สำคัญคือ การเปลี่ยนมุมมองของรัฐ จากการมองภาคประชาสังคมเป็นฝ่ายตรงข้าม ไปสู่การเป็นหุ้นส่วนที่แท้จริง การขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน โดยต้องสร้างระบบการประสานความร่วมมือระหว่างทุกภาคีเครือข่ายให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม